เห็ดหลินจือแดง โดย หมอมวลชน
คืออะไร? มีเรื่องจริงบันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ.2538 มีข่าวนายทหารไทยท่านหนึ่ง ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ กำลังรักษาตัวที่สหรัฐ หลังทำการผ่าตัดร่วมกับการใช้ยาเคมีบำบัดและฉายแสง อาการกลับทรุดหนักลง เมื่อได้รับประทานยาต้มเห็ดหลินจือของโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา อาการกลับดีขึ้นโดยลำดับ จนหายเป็นปกติ ข่าวนี้จุดประกายความสนใจในหมู่ประชาชนและผู้ป่วยมะเร็งนับแต่นั้นมา
เห็ดหลินจือ เป็นเห็ดที่มีตำนานเล่าขานและได้รับการยอมรับมานานกว่า 2000 ปี ในประเทศจีน นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ์ฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ เช่น เห็ดหมื่นปี เห็ดอมตะ เห็ดจวักงู เห็ดหิมะ เห็ดศักดิ์สิทธิ์ หรือเห็ดเคลือบแล็คเกอร์ เป็นต้น ในประเทศจีนเรียกเห็ดนี้ว่า Ling zhi ส่วนในญี่ปุ่นเรียกว่า Reishi เป็นเห็ดที่มีคุณค่าสูงและราคาแพง ในตำราสมุนไพรจีนหลายเล่มได้กล่าวยกย่องเห็ดหลินจือว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งชีวิต” มีพลังมหัศจรรย์ใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ และยังรักษาโรคต่างๆ ได้มากมาย นอกจากสรรพคุณที่ดีแล้ว ยังปลอดภัยไม่มีพิษใดๆ ต่อร่างกาย จึงจัดได้ว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน
ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาในหลายประเทศมีการนำเห็ดหลินจือมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็ง และมีแนวโน้มจะใช้กันมากขึ้น ทั้งในเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม กลุ่มสหภาพ ยุโรป รวมทั้งอเมริกา โดยมีข้อมูลของเห็ดหลินจือ เผยแพร่ไปทั่วโลกแล้วกว่า 200,000 เว็บไซท์
ในปี 2545 อย.ของจีน อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเห็ดหลินจือ เพื่อใช้ร่วมกับการฉายรังสีและเคมีบำบัด เนื่องจากผ่านการทดลองวิจัยทางคลินิกครบทุกขั้นตอน ตามมาตรฐานการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยผู้ป่วยมะเร็งของจีนได้รับการรักษาด้วยหลินจือแล้วมากว่า 1 ล้านคน
การยกระดับเห็ดหลินจือจากที่เคยใช้เฉพาะบำรุงร่างกาย และจำกัดอยู่ในวงการแพทย์แผนโบราณ มาใช้ในผู้ป่วยมะเร็งโดยแพทย์แผนปัจจุบันก็เพราะไม่อาจปฎิเสธสรรพคุณที่มีอยู่จริง ในการต่อต้านมะเร็งของเห็ดหลินจือ
เดือนมีนาคม 2548 FDA สหรัฐ อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเห็ดหลินจือ อยู่ในรายการที่สามารถทำการวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งได้
ปัจจุบันเห็ดหลินจือกำลังเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงและอยู่ในตำรับยาของสหรัฐและอีกหลายประเทศในยุโรป เป็นยาทางเลือกเพื่อรักษามะเร็ง ลดความดันโลหิตสูง ลดไขมัน ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า เนื่องจากสรรพคุณของเยอรมาเนียมที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในเห็ดหลินจือ และจากคุณสมบัติทางเภสัชอันเนื่องมาจากสมุนไพรอื่นๆ อีกรวม 252 ชนิดประกอบกัน
ทำให้หลินจือเป็นที่ยอมรับว่าเป็น เห็ดมหัศจรรย์ (Miracle Mushroom) ที่กระทรวงสาธารณสุขประเทศญี่ปุ่น อนุญาตให้ใช้เป็นยาทางเลือกเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
ในธรรมชาติพบเห็ดหลินจือได้ในป่าเขตอบอุ่นและเขตร้อน โดยมักขึ้นอยู่กับขอนไม้ที่ตายแล้ว เช่น ต้นคูณ ก้ามปู หางนกยูงฝรั่ง ยางพารา มะขาม หมาก เป็นเห็ดที่ใต้หมวกไม่มีครีบแต่มีรูเล็กเป็นจำนวนมาก ในรูเหล่านี้จะมีสปอร์ของเห็ดมากมาย เมื่อเกิดใหม่ดอกเห็ดจะมีลักษณะเป็นแท่ง จากยอดลงมาโคนเป็นสีขาว เหลือง และน้ำตาล ต่อมาส่วนบนจะเจริญแผ่กว้างออกมาเป็นหมวกมีลักษณะคล้ายพัด และอาจมีรูปร่างคล้ายถั่วแดง หรือไต ดอกเห็ดที่สมบูรณ์จะมีสีน้ำตาลแดง สีของหมวกจะมันวาวเหมือนทาแล็คเกอร์สีแดง หรือแดงอมน้ำตาล
ทำไมต้องเป็นเห็ดหลินจือแดง
เห็ดหลินจือมีขึ้นอยู่ในธรรมชาติถึง 113 สายพันธุ์ โดยมีที่ประเทศจีนมากที่สุดถึง 86 สายพันธุ์ พันธุ์ที่ได้รับความนิยมและมีสรรพคุณทางยาสูงสุดคือชนิด “กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั้ม” (Ganoderma lucidum) หรือเห็ดหลินจือแดง หรือกล่าวได้ว่า เห็ดหลินจือแดงเป็นเห็ดที่จัดว่ามีคุณค่าสูงสุดในตระกูลเห็ดหลินจือทั้งหมด ปัจจุบันสามารถเพาะเลี้ยงได้ในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
สารสำคัญในเห็ดหลินจือแดง
เห็ดหลินจือได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และแพทย์แผนปัจจุบันมากว่า 30 ปีแล้ว มีการทำวิจัยค้นคว้า และรายงานเอกสารทางวิชาการออกมากว่าร้อยฉบับ จากการตรวจสอบโครงสร้างทางเคมี พบว่าเห็ดหลินจือมีองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นประโยชน์กว่า 150 ชนิด มีทั้งสารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และสารที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคที่เรียกว่าสารออกฤทธิ์เช่น
1. โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะ ทำให้ผ่านเข้าไปดูดซึมที่ลำไส้เล็ก ซึ่งมีแมคโครเฟ็จรอรับอยู่ เป็นอาหารแก่เม็ดเลือดขาวหรือกระตุ้นให้แมคโครเฟ็จทำงานเข้มแข็ง มีบทบาทสำคัญในเรื่องกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ประกอบด้วยสารสำคัญคือ
กาโนเดอแรนส์ (Ganoderans) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
สารกึ่งเซลลูโลส ช่วยลดการเกิดโรคมะเร็ง
เบต้าดีกลูแคน (Beta–D–Glucan) กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้มีการเพิ่มของอิมมูโนโกลบูลิน อินเตอร์ลิวคิน และอินเตอร์เฟอรอน จึงเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันโรคในการต่อต้านมะเร็ง เชื้อไวรัส
คุณสมบัติที่ค้นพบของกลูแคน คือ ไปกระตุ้นหรือบำรุงเม็ดเลือดขาวตัวกลืนกินขนาดใหญ่ ที่เรียก แมคโครเฟ็จ หรือกรณีแมคโครเฟ็จอยู่ที่ผิวหนังก็เรียก แลงเกอร์ฮานส์เซลล์ (ตั้งชื่อตามผู้ค้นพบ) อันเป็นตัวที่กินและย่อยสิ่งแปลกปลอม พร้อมหลั่งสารเคมีไซโตไคน์ (cytokines) หลายชนิดเพื่อทำหน้าที่ภูมิคุ้มกัน ซึ่งก็คือ สรรพคุณต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เอดส์ งูสวัด เป็นต้น ตลอดจนเซลล์มะเร็ง
กลูแคนยังออกฤทธิ์ที่เซลล์แลงเกอร์ฮานส์ทำให้เซลล์แข็งแรง สร้างคอลลาเจน และกรดไฮอะลูโรนิค เพิ่มเซลล์ใหม่ ได้ผิวที่แข็งแรง
ปกติแมคโครเฟ็จจะแฝงตัวเงียบๆ อยู่ทั่วไป ต่อเมื่อถูกกระตุ้นจึงจะทำงาน โดยออกมากลืนกินสิ่งแปลกปลอม และผลิตโปรตีนชื่อ ไซโตไคน์ (cytokines) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเข้ามาช่วยต่อสู้อีกแรง
สิ่งที่ไปกระตุ้นแมคโครเฟ็จได้เท่าที่พบแล้ว คือ กลูแคน กับแร่ธาตุ เยอรมาเนียม
กลไกการกระตุ้นอธิบายว่าอาจเป็นเสมือน 1.ลูกกุญแจที่พอดีไขแม่กุญแจ คือ ตัวกระตุ้นมาประกบบนผิวของ แมคโครเฟ็จได้อย่างแนบสนิท 2.บางท่านสันนิษฐานว่าตัวกระตุ้นคงเป็นสารอาหารพิเศษ 3.หรือเป็นเหมือนรหัสคำสั่ง password ที่ทำให้เครื่องทำงาน
จะอธิบายอย่างไรก็ตาม ผลที่พิสูจน์ทราบก็คือ เมื่อมีกลูแคน หรือเยอรมาเนียม แมคโครเฟ็จจะทำงานอย่างแข็งขัน
มีงานวิจัยเพื่อติดตามการทำงานของกลูแคน โดยการใช้ C–13 ฉาบไปที่ผิวของกลูแคน พบว่ากลูแคนไม่ถูกย่อยด้วยกรด และน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ผ่านสู่ลำไส้เล็ก ซึ่งมีแมคโครเฟ็จจำนวนมาก แมคโครเฟ็จจึงถูกกระตุ้นด้วยกลูแคนทันที แล้วผ่านต่อไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง ทำการสร้างสารไซโตไคน์ชนิดต่างๆ ได้แก่อินเตอร์ลิวคิน–1, อินเตอร์ลิวคิน–6 สารจีเอม–ซีเอสเอฟ (GM–CSF) และอินเตอร์เฟอรอน ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเซลล์มะเร็ง
(ส่วนพวกโมเลกุลเล็ก mono และ disaccharide เช่น กลูโคส ฟรักโตส กาแลคโตส จะถูกดูดซึมตั้งแต่ในปากถึงกระเพาะ จึงนำความรู้นี้ไปรักษาโรคอ้วน โดยงดน้ำตาลเชิงเดี่ยว เน้นการกินน้ำตาลเชิงซ้อน หรือโพลีแซคคาไรด์)
กลูแคนยังช่วยต้านอนุมูลอิสระจากรังสียูวี อีกด้วย
ช่วยการไหลเวียนเลือดสมบูรณ์ จึงถูกนำไปใช้ทำเครื่องสำอางทาให้หน้าเด้ง หน้าตึงได้นานกว่าครีมทั่วไป อีกทั้งมีความปลอดภัยสูง
ความปลอดภัยของกลูแคนในหลินจือนั้น มีการวิจัย พบว่า polysaccharide และสารอื่นๆ ในเห็ดหลินจือ ไม่ทำให้เซลล์ปกติกลายพันธุ์ และไม่เป็นสารก่อมะเร็ง และถ้าใช้เห็ดหลินจือร่วมกับวิตามินซี วันละ 6 – 12 กรัม จะทำให้กลุ่มโมเลกุลของโพลีแซคคาไรด์ในหลินจือมีขนาดสั้นลง ผลลดความหนืด ย่อยได้ง่ายขึ้น และยังช่วยลดอาการท้องเสียจากการใช้เห็ดหลินจือในระยะแรกๆ ด้วย
การที่สารโพลีแซคคาไรด์ในหลินจือไปกระตุ้นกระบวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นการกำจัดเซลล์มะเร็งทางอ้อม และเป็นการทำงานตามระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติ จึงไม่มีผลกระทบต่อการทำงานปกติของร่างกาย
องค์การอนามัยโลก จึงจัดให้หลินจืออยู่ในกลุ่มสารธรรมชาติ ที่ดัดแปลงเพื่อการตอบสนองในระบบภูมิคุ้มกัน มีชื่อย่อว่า บีอาร์เอ็ม (BRM – Biological Response Modifier)
2. ไตรเตอร์พีนอยด์ (Triterpenoid) หรือ Triterpene เป็นสารที่ทำให้เห็ดหลินจือมีรสขม เป็นกลุ่มของสารประกอบหลายชนิด ปัจจุบันพบสารในกลุ่มนี้ 119 ชนิด (Kim 1999) แต่ตัวที่สำคัญคือ กรดกาโนเดอริค (Ganoderic acid) ซึ่งมีสรรพคุณ ห้ามการทำงานของฮีสตามีน จึงลดอาการภูมิแพ้ โรคหืด โรคปอด
เป็นตัวให้ออกซิเจนในระดับเซลล์ และบำรุงตับ ทำให้เห็ดหลินจือได้อีกสมญาว่า เป็นผู้รักษาตับ ป้องกันไขมันพอกตับ (Fatty Liver)
สารนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่เป็นสาเหตุอักเสบชนิดหนึ่ง ยับยั้งการหลั่งของฮีสตามีน ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ มีการทดลองในหนู พบว่าลดการอักเสบได้ 47% หรือเท่ากับยาสเตียรอยด์ Hydrocortisone 5 มก. มีผลลดบวม ลดอาการปวดจากผลของคีโม, รังสี หรือตัวมะเร็งเอง
ขบวนการอักเสบ เป็นปฏิกิริยาของเนื้อเยื่อที่ทำให้มีอาการปวดบวม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการทรมานในผู้ป่วยมะเร็ง ทั้งที่เกิดจากตัวมะเร็งเอง และภาวะแทรกซ้อน อันเกิดจากการผ่าตัด ฉายรังสี และเคมีบำบัด แต่เมื่อให้หลินจือร่วมด้วย มักไม่มีอาการเยื่อบุช่องปากอักเสบและไม่เป็นแผล ไม่ค่อยมีการอักเสบที่สำไส้ หรือบริเวณรอบรูทวาร จึงใช้หลินจือร่วมรักษามะเร็งได้เป็นอย่างดี
ลดความดันโลหิต และช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันการอุดตัน ของไขมันในหลอดเลือด
ไตรเตอร์พีนอยด์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จะยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยให้ผนังหลอดเลือดไม่มีฝ้าไขมัน หลอดเลือดสะอาด ไหลเวียนดี ความดันไม่สูง หัวใจแข็งแรง
สารไตรเตอร์พีนอยด์บางชนิดร่วมกับ Adenosine และGuanoside ในหลินจือ ช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และเส้นใยในหลอดเลือด ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มของเกล็ดเลือด มีผลให้ถูกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายได้โดยง่าย อีกทั้งมีผลให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น การอุดตันลดลง ความหนืดของเลือดลดลง นอกจากมีผลต่อความดันเลือดลดลงแล้ว สารอาหาร และยา ยังไปถึงเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น
เซลล์มะเร็งนั้น มี enzyme พิเศษ ที่ทำให้เซลล์สามารถแบ่งตัวต่อได้เรื่อยๆ ในปี 1994 มีงานวิจัยของจีน เปิดเผยว่าสารไตรเตอร์พีนอยด์สามารถลดการเกิด enzyme ดังกล่าว ทำให้เซลล์หยุดแบ่งตัวและตายไป
งานวิจัยในญี่ปุ่น พบว่า กรดกาโนเดอริคมีส่วนในการยับยั้งการสื่อสารในระหว่างเซลล์มะเร็ง ที่ทำให้เกิดการแบ่งตัว เมื่อขาดสัญญาณให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัว มะเร็งก็ไม่มีการขยายตัว และตายไปในที่สุด
ในสหรัฐอเมริกา มีการทดลองใช้สารไตรเตอร์พีนอยด์สังเคราะห์ พบว่า สารไตรเตอร์พีนอยด์เป็นตัวกระตุ้นขบวนการรีดอกซ์ (Redox = Reduction Oxidation) ของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์เร่งอัตราการเผาไหม้ จนเกิดการหายใจภายในเซลล์ที่เกินต้องการ จนตายไปเองในที่สุด (apoptosis)
การทดลองใช้ไตรเตอร์พีนอยด์ในสัตว์ที่เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 (แพร่ขยายทั่วร่างกาย) ก็ให้ผลดีกว่ายาดอกโซรูปิซิน และเมื่อใช้รักษามะเร็งตับอ่อนก็ได้ผลดีกว่ายาเจมีตาบิน มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิดที่ดื้อยาแล้วก็ได้ผลดี โดยพบว่า เนื้อเยื่อรอบตัวเซลล์มะเร็งสร้างเส้นเลือดใหม่ได้น้อยลง ทำให้ขาดเลือด อายุสั้น
ล่าสุดมีรายงานว่า กรดกาโนเดอริค มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยสามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันให้ผลิตเพิ่มสารเคมีที่เรียก อินเตอร์ฟิรอนแกมมา และเซลล์พิฆาต Natural killer cell (NKC)
3. เยอรมาเนียม (Germanium) : ออแกนิค เยอรมาเนียม (Organic Germanium) เป็นแร่ธาตุสำคัญที่เพิ่งค้นพบล่าสุด เขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า Ge 132 มีลักษณะเด่น คือ เป็นสารกึ่งสื่อไฟฟ้า (Semi conductor) คือ อยู่กึ่งกลางระหว่างโลหะกับอโลหะ ช่วยกำจัดสารพิษและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ในร่างกาย เป็นตัวปรับศักย์ไฟฟ้า ทำให้เม็ดเลือดแดงรับออกซิเจนเพิ่ม 1.5 เท่า เนื้อเยื่อจึงมี ออกซิเจนสำรองเพิ่ม มีผลต่อความอึด อดทนของร่างกาย อีกทั้ง ออกซิเจนที่เกิดขึ้นเป็นปฏิปักษ์กับเซลล์มะเร็ง
จุดเด่นของ Ge มี 4 – 5 ประเด็น คือ
เป็น Antox ทีมีประสิทธิภาพสูง
เป็นตัวให้ออกซิเจน (Oxygen Catalyst) ในระดับเซลล์
เป็นตัวปรับสมดุล (Adaptogen)
สร้างภูมิคุ้มกันชนิดไม่เฉพาะเจาะจง (Nonspecific Immunity) คือต้านทานเชื้อโรคไม่จำกัดชนิด ทำให้เหนือกว่าวัคซีนเฉพาะโรค
กำจัดโลหะหนัก (Chelation)
ในปี คศ.1866 คลิเมนวิงเลอร์ นักเคมีชาวเยอรมัน เป็นผู้ค้นพบธาตุลำดับที่ 32 นี้ แล้วตั้งชื่อ เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศว่า เยอรมาเนียม
มีตำนานน้ำพุที่เมืองลอเดส (อยู่ระหว่างฝรั่งเศสกับสเปน) สามารถรักษาโรคได้หลายชนิดอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อนำน้ำมาวิเคราะห์ทางเคมี พบสาร Ge ในความเข้มข้นสูง ทำให้มีการวิจัย Ge อย่างกว้างขวาง
ต่อมาดร.เอไซ วิศวกรเหมืองแร่ชาวญี่ปุ่น สามารถสังเคราะห์สารนี้ได้ในห้องปฏิบัติการเป็นครั้งแรก และใช้กินเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ของตัวเอง ปรากฏว่าดีขึ้น จนเป็นปกติใน 10 วัน
ในค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) เยอรมาเนียมได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 6 ตัวยา เพื่อทดลองรักษาโรคเอดส์
Ge ละลายน้ำถูกขับออกทางปัสสาวะ จึงไม่เกิดการตกค้างสะสม มีงานวิจัยที่ทำอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งยึดแนวทางของกระทรวง สวัสดิการประเทศญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัดยืนยันว่า Ge132 มีความปลอดภัย ถึงแม้จะบริโภคสูงถึงวันละ 10 กรัม ก็ไม่พบอันตราย ไม่เป็นพิษและไม่รบกวนระบบสืบพันธุ์
ความอัศจรรย์ของเยอรมาเนียมที่หลากหลาย ทำให้ถูกตั้งสมญาว่าเป็น “ยาผีบอก” (panacea)
เหตุที่เยอรมาเนียมปรับสมดุลได้ทุกระบบในร่างกายนั้น นักฟิสิกส์อธิบายว่า เพราะมันมีคุณสมบัติเป็นสารกึ่งไฟฟ้า (Semi conductor) มีการหมุนเวียนประจุไฟฟ้าลบ (e) เข้าและออก ทั้งนี้เพราะวงนอกที่ไกลสุดจากนิวเคลียส (Nucleou) ของอะตอมเยอรมาเนียม มี e อยู่ 4 ตัว วิ่งรอบวงเป็นสำคัญ
อะตอมของ Ge มี e 32 ตัว วิ่งรอบแกนกลาง p 32 ตัว + n41 ตัว ซึ่งรวมตัวเป็นนิวเคลียส โดย e วิ่งอยู่เป็นวงรอบนิวเคลียสแบบ 3 มิติ 4 ชั้น โดยจับเป็นคู่ ชั้นในสุดมี e 2 ตัว, ชั้นที่ 2 มี 18 ตัว ชั้นที่ 3 มี 8 ตัว และชั้นนอกสุดมี 4 e หรือ 2 คู่ ชั้นนี้มีนัยสำคัญกับสุขภาพมนุษย์ คือ เป็น e ที่แยกตัวออกไปได้ง่าย อันเป็นคุณสมบัติของเซมิคอนดักเตอร์ หยุดการบ่อนทำลายของอนุมูลอิสระ หรือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง
GE เป็น Adaptogen ศจ.นพ.วีกิจ วีรานุวัตร์ เคยกล่าวถึงคุณสมบัติของ Adaptogen โดยยกตัวอย่างผู้มีความดันเลือดสูง ทานเข้าไปจะช่วยให้ลดลง หากความดันต่ำจะทำให้สูงขึ้น แต่ถ้าไม่สูงไม่ต่ำ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
Adaptogen จึงหมายถึง ผู้ปรับสมดุลหรือผู้ทำให้ระบบคืนสู่สภาวะปกติให้กับร่างกาย
Dr.Nikola Lazarev ได้ให้คำจำกัดความว่า Adaptogen คือตัวที่ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สิ่งมีชีวิต สามารถต่อต้านความเครียด อันมีสาเหตุกดดันจากสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายต่างๆ ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับภาษาแพทย์ที่เรียก Homeostasis
เซลล์มีศักย์ไฟฟ้า ตามทฤษฎีควอนตัมชีวะเคมี ซึ่งเป็นวิทยาการฟิสิกซ์แผนใหม่ พบว่าไฮโดรเจน อิออน หรือประจุไฟฟ้าไฮโดรเจน เป็นอิเล็กตรอนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการปรับสมดุลไฟฟ้าภายในร่างกาย
เราทราบและพิสูจน์ได้ว่าในสมองนั้นมีคลื่นไฟฟ้าที่ตรวจวัดได้ เมื่อคลื่นไฟฟ้าในสมองผิดปกติจะเกิดโรคหลายแบบ เช่น ลมบ้าหมู ลมชัก ภาวะสมองฝ่อ ความจำเสื่อม เนื้องอก หรือเลือดออกในสมอง แท้จริงแล้วทุกเซลล์ของร่างกาย ไม่ว่าที่ตับ ไต ไส้ หัวใจ ปอด ผิวหนัง ล้วนแสดงศักย์ทางไฟฟ้าหรือมีสมดุลทางไฟฟ้าทั้งนั้น หากสมดุลทางไฟฟ้าเสียไป ย่อมทำให้เกิดโรคหรือความผิดปกติขึ้น
การที่เยอรมาเนียมอินทรีย์สามารถปรับสมดุลไฟฟ้าได้ จึงช่วยให้หายจากโรค หรือร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
การที่ Adaptogen Ge เป็น Antox ที่ดีก็อธิบายจากการที่มี e 4 ตัวที่วงนอกของอะตอม โดยมี 1 ตัว พร้อมที่จะหลุดออกจากวงโคจรเพื่อไปจับกับอนุมูลอิสระที่มีแรงรับ (แย่ง) e มากกว่านั่นเอง
คุณสมบัติเป็น Adaptogen ของสาร Ge น่าจะใช้อธิบายกลไกปรับศักย์ไฟฟ้าของหลินจือต่อเซลล์มะเร็งได้
ผนังของเซลล์มีศักย์ไฟฟ้า หรือโออาร์พี ORP ของเซลล์จะต่างกัน การอักเสบ สารก่อพิษ การบาดเจ็บ ทำให้ ORP เปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้การทำงานของเซลล์ผิดเพี้ยนไปได้ ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งมีศักย์ไฟฟ้าสูงเป็นพิเศษ
Ge ในหลินจือซึ่งมีประจุลบของ e ที่วงนอกของ atom ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนให้ ORP ของเซลล์มะเร็งเข้าสู่ปกติ
การที่ศักย์ไฟฟ้าลงสู่ปกติ ทำให้เม็ดเลือดขาวกลืนกิน หรือภูมิต้านทานสามารถเข้าถึงเซลล์มะเร็งและจับทำลายได้
จุดเด่นของหลินจือ คือ เป็นสารที่มีอัตราส่วน (ppm) ของ Ge สูง
การที่มี Ge สูง หมายความว่า เป็น Adaptogen ที่ดี
Adaptogen ที่ดี ย่อมเป็น antox ที่ดีด้วยเสมอ (แต่ antox ทุกตัวไม่จำเป็นต้องเป็น Adaptogen)
อันที่จริงสมุนไพรหลายชนิดก็มี Ge แต่พบว่าหลินจือมี Ge อยู่ในอัตราสูงสุด
กระเทียมก็มี Ge ในระดับสูง สูงกว่าโสมอีกด้วย
อินทรีย์ปลอดภัยกว่า Ge ที่นำมาใช้กินควรเป็นอินทรีย์หรือมีอยู่ในพืช สัตว์ธรรมชาติ คำว่า อินทรีย์ต่างกับอนินทรีย์ ตรงที่มี C atom ร่วมอยู่ด้วย อัน carbon นั้นพร้อมให้พลังงานหรือความร้อนเมื่อรวมตัวกับออกซิเจน
ส่วนอนินทรีย์ ก็คือ แร่ธาตุ Ge โดดๆ หรืออยู่ในสารประกอบอื่น เช่น เยอรมาเนียมไดออกไซด์ GeO2
Cytokine (ไซโตคิน) คือชื่อของกลุ่มโปรตีน ทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทาน ประกอบด้วยอินเตอฟิรอน แกมมา, อินเตอลิวคิน (Interleukin) IL–1 และ IL–4
Cytokine ทั้ง 3 อย่างนี้ ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะเจาะจง (Nonspecifie Immunity) และยังเป็นตัวสื่อสารติดต่อกับเซลล์ภูมิต้านทานทั้งหลาย ที่สำคัญคือ NKC และ T–cell ให้ร่วมต่อสู้
Interferon (อินเตอฟิรอน) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสารต่อ ต้านมะเร็งมีคุณสมบัติหยุดยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง แพทย์ญี่ปุ่นรายงานไว้ในการประชุมนานาชาติที่โอซากา 1981 ว่า Ge เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Interferon เพิ่มมากขึ้น
มีการทดลองสรุปเป็นรายงานว่า สัตว์ทดลองที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ, คนไข้มะเร็งหรือรูมาตอยด์ เยอรมาเนียม จะช่วยให้ Wbc ชนิด T–cell ซึ่งลดลงไปเพิ่มปริมาณสู่สภาพเดิม มีภูมิคุ้มกันกลับคืนปกติ
มีรายงานจากคณะแพทย์ ประเทศแคนาดาก็สรุปได้ว่า Ge กระตุ้นร่างกายให้สร้าง Interferon gamma และทำให้เซลล์เพชฌฆาต (NKC) ทำงานเข้มแข็ง มีผลชะลอการกระจายของเซลล์มะเร็ง
1987 มีรายงานสรุปว่า เซลล์เพชฌฆาต NKC เป็นตัวผลิต Interferon gamma โดยมี Ge เป็นตัวกระตุ้น NKC อีกทีหนึ่ง
การสกัด Interferon ออกมาใช้นั้นมีต้นทุนสูง มีการคิดวิธีเพิ่มหรือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารนี้ขึ้นมาเอง แต่ก็พบว่าสารหรือวิธีที่นำมาใช้ล้วนเกิดผลข้างเคียงมากจนทนไม่ได้ ยกเว้น Ge จากพืชบางชนิด เช่น กระเทียม โสม ว่านหางจระเข้ สาหร่าย และหลินจือ
4. นิวคลีโอไทด์ (Nucleotide) ประกอบด้วย
อะดีโนซีน (Adenosine) ยับยั้งการรวมกลุ่มของเกล็ดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ลดการเกิดอัมพาตและโรคหัวใจขาดเลือด
อะดีโนซีน ร่วมกับกรดกาโน ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ไม่เกิดเป็นก้อนอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนดี นำออกซิเจน และสารอาหารไปอวัยวะปลายทางได้ดี อีกทั้งช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลทั้งในเลือดและในตับอีกด้วย
อะดีโนซีน ยังเป็นส่วนสำคัญของพลังงาน ATP (Adenosine Triphosphate) โมเลกุลพลังงานนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของรหัสพันธุกรรมดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอ เป็นตัวสำคัญในการเผาผลาญเมตาบอลิสม เสริมกำลังในระดับเซลล์
ที่สำคัญ คืออะดีโนซีน เป็นตัวป้องกันโรคกล้ามเนื้อลีบ (Muscular Dystrophy) ช่วยให้ร่างกายปราดเปรียว
อัลคาลอยด์ (Alkaloid) กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ
5. เออโกสเตอรอล (Ergosterol) เช่น กาโนสเตอโรน (Gonosterone) ลดพิษต่อตับ ใช้บำรุงตับในโรคตับแข็งและตับอักเสบ
6. กรดไขมันโอเลอิคและไซโคลอ๊อกตาซัลเฟอร์ ต้านการหลั่งของฮีสตามีนซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้
7. ไลโซไซม์และโปรติเอส มีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ
8. SOD (Superoxide Dismutase) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไม่ได้มีคุณสมบัติเฉพาะการต้านมะเร็งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นตัวที่ช่วยต่อต้านสารพิษ และชะลอความแก่ สารนี้ยังพบได้ในเห็ดรา และพืชชนิดอื่นๆ โดยทั่วไป แต่ก็พบได้มากในหลินจือ
Ge ต้านอนุมูลอิสระผ่าน SOD
SOD เป็นเอนไซม์ ต้านอนุมูลอิสระตัวหลัก ซึ่งอยู่ในเม็ดเลือดขาวเมื่อ SOD กำจัดอนุมูลอิสระแล้ว ตัวมันจะหมดสภาพ antox แต่เมื่อพบ Ge เติม e ให้ ก็เป็นการฟื้นสภาพ SOD ขึ้นมาใหม่ SOD เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระกลุ่ม peroxide ได้แม่นยำมาก ทำให้ไม่เกิดพิษกดดันไขมัน (lipid per oxidation) เมื่อไขมันในหลอดเลือดไม่ถูกออกซิเดชั่น ก็ไม่แข็งจับเป็นก้อน ผนังหลอดเลือดก็สบายดี
สรรพคุณของเห็ดหลินจือแดง
จากสารสำคัญที่พบในเห็ดหลินจือกว่าร้อยชนิด ทำให้มีสรรพคุณที่สำคัญทางการแพทย์ได้แก่
1. ฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็ง ในญี่ปุ่นมีการใช้เห็ดหลินจือควบคู่กับเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ช่วยแก้พิษจากรังสี, คีโม เช่น ท้องเสียอักเสบจากการฉายรังสี, เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม, อาการปวดจากพิษบาดแผล
อะไรคือ Shock Therapy
เข้าใจว่ากลไกการตายของเซลล์มะเร็งแบบที่เรียก Apoptosis คือ เซลล์ตายไปเอง น่าจะเกิดจากเซลล์ช็อคสลบไป (Dormant) …เหตุที่ลดมาก เพราะศักย์ไฟฟ้า (ORP) ลดลงมาก…เหตุที่ลดมากเนื่องจากฤทธิ์ของ e จากวงนอกของ Ge atom
นักวิจัยพบว่า Ge ในหลินจือมีโครงสร้างพิเศษที่จะดึงซับ e ทำให้ ORP หรือศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนไป…ดูเหมือนว่าไม่มีกลไกนี้ในยาแผนปัจจุบัน
กลไกกำจัดเซลล์มะเร็งนั้น Ge จะเข้าไปจับคู่กับ e ที่ผลิตออกมาจากผนังเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในระยะของการแบ่งตัว ทำให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวไม่ได้
บางตำราก็อธิบายว่า 4e วงนอกของ Ge atom ไปปรับศักย์ไฟฟ้าที่ผนังเซลล์มะเร็ง ทำให้สนามแม่เหล็กรอบเซลล์มะเร็งอ่อนลง เม็ดเลือดขาวกลืนกินจึงเข้าถึงตัวเซลล์มะเร็งได้
การจะลด e ปรับศักย์ไฟฟ้าก็ต้องใช้ e มากพอสมควร…ก็ต้องใช้ปริมาณ Ge มากพอควร จึงจะต่อสู้กับเซลล์มะเร็งจำนวนมากได้…จึงจะทำให้เซลล์มะเร็งช็อคได้…เป็นคำตอบว่าทำไมต้องกินหลินจือสกัดในระยะเริ่มรักษามะเร็งวันละ 60 เม็ด
คำตอบ คือ ต้องการฤทธิ์แบบ Shock Therapy นั่นเอง
สรุปกลไกต้านมะเร็งของแต่ละกลุ่มสารออกฤทธิ์ในหลินจือแล้ว พอจะสรุปได้ว่า
กลูแคนหรือโพลีแซคคาไรด์ เพิ่มความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาวกลืนกิน (แมคโครเฟ็จ)
ไตรเตอร์พีนอยด์ ขัดขวางขบวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งกำจัดตัวเองตายไปคล้ายยาเคมีบำบัด แต่ปลอดภัยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
เยอรมาเนียมอินทรีย์ ใช้ e ปรับศักย์ไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กที่เซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งช็อคตาย หรืออ่อนแรงจนภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าไปกลืนกินทำลายได้
ทั้งไตรเตอร์พีนอยด์ และ Ge ยังเป็นตัวให้ออกซิเจน แก่เซลล์หรือช่วยให้เซลล์ประหยัดการใช้ออกซิเจน มีผลให้มีออกซิเจนเหลือใช้ ทำให้ pH เลือดเป็นด่าง อันเป็นภาวะที่เซลล์มะเร็งไม่ชอบเจริญเติบโต
ใช้ขนาดไหน ?
ในหนังสือหลิงจือกับข้าพเจ้า กล่าวว่า การรักษามะเร็งด้วยหลินจือนั้นต้องกินแบบ Shock therapy คือ เริ่มด้วยขนาดสูง เช่น หลินจือสกัดวันละ 60 เม็ด หรืออย่างน้อย 20 เม็ด/วัน เพื่อผลการปรับศักย์ไฟฟ้า อย่าลืมว่าระดับความปลอดภัยของหลินจือมีสูงมาก
ส่วนขนาดปกติสำหรับบำรุงร่างกายนั้นน่าจะเป็น 1 แคปซูล พร้อมวิตามินซี 500 มก.
2. ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด
3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
4. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
5. ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันในสมองและหัวใจ
6. ยับยั้งเชื้อไวรัสในเซลล์เพาะเลี้ยง เช่น ไวรัสโรคเอดส์ อีสุกอีใส งูสวัด
7. บำรุงและป้องกันตับ มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างพังผืดในโรคตับแข็ง ป้องกันตับจากสารพิษ ช่วยให้ใยแผลเป็นอ่อนนิ่มคลายตัว ไม่ไปรัดเส้นเลือดและเนื้อเยื่อตับ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ตับสร้างเซลล์ใหม่
รักษาโรคตับอักเสบ สามารถลดค่า SGOT และ SGPT ที่สูงเกินมาตรฐานในเลือด
ช่วยเซลล์ตับฟื้นฟูสภาพมันจุกตับ (fatty liver)
8. ผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยให้นอนหลับสนิท
9. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
อย่าลืมว่า กลูแคนในหลินจือแบบทา ยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเฉพาะที่ เมื่อผสานกับการได้สารอาหารโดยรับประทาน น่าจะเสริมแรงแข็งขันในการช่วยให้ผิวเนียน สดใส ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
10. จากทฤษฏีประหยัดออกซิเจน ใช้แก้โรคป่วยบนที่สูง…หูอื้อ…อึด
ทฤษฎีประหยัดออกซิเจน
การมีสารที่ช่วยทำหน้าที่แทนออกซิเจน ในการทำความสะอาดขจัดของเสีย ไฮโดรเจนในร่างกาย ยังผลให้ความต้องการที่จะใช้ออกซิเจนของร่างกายลดน้อยลง
ในขณะเดียวกันก็มีการให้ออกซิเจน (Oxygen Supply) เพื่อจะใช้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้น
ผลพลอยได้ คือ ทำให้ออกซิเจนสำรองในเนื้อเยื่อ (Tissue Oxygen reserve ) มีมากขึ้นด้วย
แล้วหลินจือช่วยได้อย่างไร?…พบว่าเยอรมาเนียม เป็นธาตุที่ทำปฏิกิริยากับ Hydrogen แล้วขจัดมันออกจากร่างกายได้…ความหมายคือ Ge ในหลินจือขจัดของเสีย H2 แทนออกซิเจนได้ ทำให้มี ออกซิเจนเหลือใช้ถึง 30%
ผลจากการนี้ทำให้อธิบายได้ว่าทำไมหลินจือช่วยรักษาโรคหัวใจล้มเหลว เส้นเลือดหัวใจตีบ ถุงลมโป่งพอง อาการป่วยบนที่สูง หรือทุกโรคที่สาเหตุจากการขาดออกซิเจน
Ge ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดง รับออกซิเจนได้มากกว่าเดิม อย่างน้อย 1.5 เท่า ทำให้เลือดและเซลล์มีออกซิเจนเพิ่มขึ้น
ปกติอาหารที่ถูกสันดาปหรือเผาผลาญ ล้วนก่อประจุบวกของ H ทำให้เลือดมีภาวะเป็นกรด ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ปกติ
หากได้ออกซิเจน หรือแมกนีเซียม มาทำปฏิกิริยาประจุบวกของ H g น้ำ (H2O) ซึ่งไม่เป็นพิษ Ge จะช่วย O จับกับประจุบวก H สร้างความสมดุลไฟฟ้า กับขจัดภาวะเป็นกรดออกไป ทำให้เลือดมีออกซิเจนคงเหลือเป็นจำนวนมาก ที่จะใช้บำรุงเซลล์ และต่อต้านเซลล์มะเร็ง ซึ่งเราทราบว่า เซลล์มะเร็งไม่ชอบออกซิเจน คือไม่ชอบเติบโตในที่ที่มีออกซิเจน หรือที่ดร.วอร์เบิก สรุปว่า การขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
11. ช่วยรักษาโรคไตเรื้อรังบางชนิด โดยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น จากฤทธิ์สลายใยแผลเป็น(fibrosis scar)
ฤทธิ์ต้านพังผืดหดยึด ช่วยให้เซลล์ไตดีขึ้น อันนี้มีรายงานของรศ.พญ.นาริสา ฟูตระกูล แห่งคณะแพทย์จุฬา ส่งฤทธิ์เสริมบำรุงไต โดยสามารถลดปริมาณไข่ขาวรั่ว ในโรคไตเรื้อรังอย่างมีนัยสำคัญ แตกต่างไปจากการรักษาทั่วไปที่ทำได้ดีที่สุด แค่ชะลอการตายของเนื้อไตให้ช้าลงเท่านั้น
หลายรายมีผลช่วยลดอัตราการล้างไต หรือเลิกล้างไตได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องร่วมกับการควบคุมอาหารพิษประจำวัน เช่น โปรตีน ไขมัน น้ำตาล กรดต่างๆ ด้วย
ทฤษฎีใยแผลเป็น
นพ.บรรเจิด ตันติวิท บรรยายไว้ว่า เมื่ออวัยวะหรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย ด้วยการบาดเจ็บอักเสบ สารพิษหรือการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ก็จะถูกซ่อมแซมด้วยเส้นใย หรือ fibrous tissue ยังผลให้เกิดเป็นแผลเป็น (scar) ซึ่งบางครั้งใยแผลเป็น ทำให้เกิดปัญหามากมายต่อการทำงานของร่างกาย หลินจือสามารถช่วยละลายเส้นใย ทำให้ใยแผลเป็นอ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลง จึงมีศักยภาพสูงที่จะใช้ในการรักษาโรคหลายโรคที่มีสาเหตุจากใยแผลเป็น
คำว่า ใยแผลเป็นหรือ fibrous scar บางตำราอาจเรียกว่า พังผืดหดยึด หรือการเกิดพังผืดรัดภายหลัง การเกิดบาดแผล เป็นต้น
เมื่อเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไฟไหม้ หรือฉายแสงรังสี เซลล์หรือเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะไม่งอกใหม่ ร่างกายจะนำเส้นใยมาซ่อมแซม ผลก็คือ เป็นแผลเป็น ภายในร่างกายก็มีแผลเกิดได้ ไม่ว่าที่กล้ามเนื้อ ตับ ไต สมอง ฯลฯ
ใยแผลเป็นยิ่งนานก็จะยิ่งแข็งและหดตัว เกิดการรัด ดึง เบียด บีบให้เนื้อเยื่อดีๆ เสียรูปทรงได้ จนทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานตามปกติได้ เช่นที่ลำไส้ก็อาจดึงรั้งจนอุดตัน ที่สมองก็อาจทำให้เป็นลมชักได้
ยาแก้มีไหม…อย่างหนึ่ง คือ สเตียรอยด์ ตัวอย่างที่ใช้ฉีดเข้าไปในแผลเป็นนูน (Keloid) แต่แผลภายในร่างกายจะฉีดสเตียรอยด์เข้าไปได้อย่างไร…ถ้าใช้การกินก็ต้องใช้ขนาดสูง ผลคือ พิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย กลายเป็นเสียมากกว่าได้
สเตียรอยด์ธรรมชาติจึงเป็นคำตอบ…
หลินจือสกัดจึงเป็นคำตอบ เพราะหลินจือมี สเตียรอยด์ธรรมชาติ เป็นสารสมุนไพรระดับดีหนึ่ง ซึ่งไม่พบพิษข้างเคียงเหมือนสเตียรอยด์สังเคราะห์
12. ปัญหาหมอนรองกระดูกแตก แล้วเกิดใยแผลเป็นดึงรั้งกระดูก หรือเส้นรอบบริเวณไปกดบีบรัดเส้นประสาท ก็ผ่อนคลายได้ด้วยทฤษฎีใยแผลเป็น
จึงเป็นทฤษฎีที่อธิบายกลไกว่า ผลจากหมอนรองกระดูกแตกกดทับเส้นประสาททุเลาขึ้นได้ด้วยหลินจือสกัด
13. ปัญหาถุงลมโป่งพอง โรคแห่งความเสื่อมที่เกิดจากมลพิษบุหรี่ จนเกิดใยแผลเป็นเต็มปอด ทางแพทย์อาจแก้อาการด้วยสเตียรอยด์ หลินจือจึงช่วยได้ทั้งโดยทฤษฎีใยแผลเป็น และทฤษฎีประหยัดออกซิเจน
14. ในคศ.1995 คณะแพทย์ม.โอ๊คแลนด์ ได้รายงานว่า Ge ชะลอการเกิดต้อกระจก (cataract ) อีกด้วย
15. จับโลหะหนัก สิ่งที่เป็นความหวังนอกเหนือจากกรดแอลฟาไลโปอิคแล้ว Ge ก็มีคุณสมบัติกำจัดโลหะหนักเป็นพิษ (Chelation) เช่น โรคปรอทเป็นพิษ
ที่มาของความรู้นี้มาจากความที่เกรงว่า Ge จะก่อพิษ เนื่องจากเป็นธาตุที่เราไม่คุ้นเคย จึงมีการทดสอบการเกิดพิษในหนู โดยใช้ขนาดความเข้มข้นสูงกว่าที่มีในเห็ดหลินจือ 1000 เท่า ผลปรากฎว่า นอกจากไม่เป็นพิษแล้ว ยังช่วยกำจัดพิษด้วย โดยออกซิเจนรอบสารเยอรมาเนียมจะพาธาตุโลหะที่เป็นพิษ เช่น แคดเมียม ปรอท และสารก่อมะเร็งอย่างอื่นไปกำจัดทิ้งพร้อมกับสารเยอรมาเนียมส่วนเกิน ร่างกายจึงปลอดภัยต่อการตกค้างของโลหะหนัก
ทำไมรักษาได้หลากหลายโรค ?
เมื่อคิดถึงเบต้าแคโรทีน ที่มีการสังเคราะห์นำเบต้าแคโรทีนเดี่ยวๆ ไปทดลองรักษาโรคแล้วไม่ได้ผล กลับเป็นพิษภัย เนื่องจากไม่ได้สารพืชทั้งทีม ก็มาถึง หลินจือสกัด โชคดีที่สารสกัดหลินจือได้ออกมาเป็นทีม ไม่ใช่สารเดี่ยว ดังที่กล่าวว่าพบถึงกว่า 252 ชนิด
การที่สารออกฤทธิ์หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลูแคน ไตรเตอร์พีนอยด์ สเตียรอยด์พืช SOD อะดีโนซีน ตลอดจนเยอรมาเนียม ทำให้ทีมงานออกฤทธิ์ค่อนข้างครอบจักรวาล ได้อย่างน่าอัศจรรย์ในผลิตผลแห่งธรรมชาตินี้
Adaptogen ของ Ge และสเตียรอยด์ธรรมชาติในหลินจือ ยังช่วยในโรคภูมิเพี้ยน เช่น SLE, โคร์น (crohn’s disease) ลำไส้อักเสบ ถ่ายเป็นเลือด โรคหนังแข็งที่มีอาการผิวหนังหนาตึง หดรัดใบหน้า จนเกิดลักษณะปากเล็กจมูกหด ผิวหนังเป็นสีดำคล้ำ เป็นต้น
ตลอดจนอาการหูอื้อ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มือสั่น เดินส่าย กัดปากตัวเอง
ผู้ใดควรใช้เห็ดหลินจือแดง
จากสรรพคุณที่มีมากมายทั้งในด้านป้องกันและบำบัดรักษา เห็ดหลินจือแดงจึงเหมาะกับโรคของผู้สูงอายุและวัยก่อนสูงอายุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดอุดตันในสมองและหัวใจ ไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ หอบหืด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ โรคไตเรื้อรัง โรคตับอักเสบ รวมทั้งใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่
เห็ดหลินจือแดงจากธรรมชาติและ / หรือจากโรงเพาะเลี้ยง
ในสมัยก่อน เห็ดหลินจือจะมีอยู่แต่ในธรรมชาติตามป่าหรือตามเขา แต่ปัจจุบันสามารถปลูกได้ในโรงเพาะเลี้ยง ภายใต้การควบคุมสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งอุณหภูมิ แสงแดด และความชื้น จึงทำให้สามารถรักษาสรรพคุณและตัวยาไว้ได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งเก็บเกี่ยวเมื่อดอกเจริญเติบโตเต็มที่ได้ ส่วนเห็ดหลินจือที่โตตามธรรมชาติอาจไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีแมลงสัตว์กัดแทะหรือขึ้นรา จึงมักมีคุณภาพและสารสำคัญด้อยกว่าเห็ดเพาะเลี้ยง
รูปแบบของเห็ดหลินจือแดงที่ใช้รับประทาน
เห็ดหลินจือสามารถนำมาบริโภคได้หลายรูปแบบ คือ
1. ยาต้มแบบโบราณ โดยนำเห็ดหลินจือแห้งที่ฝานแล้วใส่หม้อต้มและเคี่ยว แล้วเอาน้ำมาดื่ม วิธีนี้อาจจะยุ่งยากและไม่สะดวก
2. เนื้อเห็ดหลินจือบดเป็นผงแล้วบรรจุแคปซูล
– หากไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหรือเก็บไม่ถูกวิธี อาจทำให้มีเชื้อราปนเปื้อนได้
– วิธีนี้จะมีความเข้มข้นน้อยกว่าแบบสารสกัด และดูดซึมได้ยากกว่า
3. สารสกัดจากเห็ดหลินจือบรรจุแคปซูล เป็นวิธีที่ดีที่สุด
– ได้สารสกัดที่เข้มข้นและรักษาสรรพคุณของสารได้ดีกว่า
– ดูดซึมและออกฤทธิ์ได้ดีกว่า
– มีมาตรฐานการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย
ปัจจุบันมักนิยมบริโภคแบบสารสกัดบรรจุแคปซูล เพราะสะดวก พกพาได้ แต่ควรเลือกชนิดที่เป็นสารสกัดจากเห็ดหลินจือแดง และมีสารสำคัญเข้มข้นเท่านั้น
กินตอนไหนดี
เวลาที่เหมาะสม คือ ตอนเช้าขณะท้องว่าง ดื่มน้ำมากๆ การมีวิตามินซีร่วมด้วย จะช่วยเพิ่มสรรพคุณ หากลืมก็ใช้เวลาอื่นได้ แต่ให้งดใช้ในผู้ที่ต้องกินยากดภูมิต้านทาน เช่น เป็น SLE หรือผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะอยู่
ควรเริ่มอย่างช้าตั้งแต่อายุ 30 ปี เป็นต้นไป เนื่องจากต่อมไทมัส ซึ่งสร้างภูมิต้านทานเริ่มชะลอการทำงาน
ผลข้างเคียงมีไหม
เมื่อเริ่มกินใหม่ๆ บางคนอาจมีอาการท้องเสีย ซึ่งอธิบายว่าเป็นเสมือนการขับสารพิษออกจากร่างกาย มักเป็นอยู่ 2 – 3 วันก็หาย
ความรู้สึกผิดปกติที่อาจพบในผู้บริโภคครั้งแรก คือ ไข้ ไม่สบาย อธิบายว่า Ge ซึ่งละลายน้ำ จะพาสารพิษออกทางปัสสาวะในช่วงล้างพิษนี้ โดยพบว่า 3% ของผู้ใช้มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง นอนไม่หลับ อาจรู้สึกเหมือนเป็นไข้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าตื่นกลัว เพราะเป็นตัวชี้บ่งว่าการรักษามาถูกทาง เพราะเป็นสัญญาณของการหายป่วย จากการที่ Ge ทำให้อัตราเผาผลาญเพิ่ม ทำนองเดียวกับการกินกระเทียมหรือโสม แล้วร้อนวูบวาบ
นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะ ปวดเมื่อย คันตามผิวหนัง ปัสสาวะบ่อย วูบวาบ อาการเหล่านี้เกิดเนื่องจากเห็ดหลินจือช่วยขับสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ให้ออกทางระบบขับถ่ายทุกระบบของร่างกาย เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ ผิวหนัง เหงื่อ เป็นต้น มักมีอาการไม่เกิน 1 – 2 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องหยุดกิน แต่ควรดื่มน้ำมากๆ
ในด้านความเป็นพิษ พบว่าเห็ดหลินจือมีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายจากการรับประทานนานๆ
โดยสรุป
เห็ดหลินจือจัดเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าสูง มีผลทางการรักษาโรคหลายชนิดและบรรเทาอาการของโรคได้มากมาย มีการค้นคว้าวิจัยทั้งในด้านเภสัชวิทยา การทดลอง และการศึกษาทางคลินิกจนแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ต่างก็ยอมรับในคุณค่า จึงไม่เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดเห็ดหลินจือจึงคงความเป็นอมตะและมีผู้นิยมใช้กันมานานกว่า 2000 ปีจวบจนถึงปัจจุบัน
จากข้อมูลของแต่ละกลุ่มสารสำคัญที่กล่าวมาแล้ว…
จากการใช้มากว่า 2000 ปี…
จากการได้รับการยอมรับกว้างขวางมากขึ้น จนเป็นสากล…
แม้กระทั่ง Ge ที่มากเกินยังกลายเป็นคุณในการขับโลหะหนัก…
คุณสมบัติ Adaptogen ก็คือ ตัวปรับสมดุลธรรมชาติ
ทำให้หลินจือถูกจัดอันดับเป็นสมุนไพรประเภทดี 1
ดี 1 หมายถึง มีสรรพคุณที่ระบุหนึ่ง ใช้ขนาดสูงได้โดยปลอดภัยหนึ่ง ใช้เป็นระยะยาวนานได้อีก 1 เทียบได้กับยากลุ่มวิตามิน เมลาโทนินและโสม
ดี 2 หรือปานกลาง หมายถึง มีสรรพคุณรักษาโรคเฉพาะได้ แต่หากใช้ระยะยาวอาจมีพิษสะสม เช่น กลุ่มยาปฏิชีวนะ
ดี 3 หมายถึง มีทั้งสรรพคุณและพิษในเวลาเดียวกัน เช่น ยารักษามะเร็งกลุ่มคีโม
(น่าเสียดายที่เขาห้ามเมลาโทนินเป็นเสริมอาหารในเมืองไทย สาระดีๆ …สารอาหารดีๆ ดันไปจดทะเบียนยา !)
จะเลือกหลินจือ หรือเบต้ากลูแคนดี?
ในหลินจือก็มีสารออกฤทธิ์สำคัญ คือ polysaccharides ซึ่งก็คือ เบต้ากลูแคน แต่อาจไม่เข้มข้นเท่าเบต้ากลูแคนโดดๆ แต่หลินจือมีภาษีกว่าตรงเยอรมาเนียม และสารพืชอีกหลายชนิด โดยเฉพาะกรณีต้องการกลไกช็อคมะเร็ง ควรเริ่มด้วยหลินจือขนาดสูง โดยหวังผลของเยอรมาเนียม เมื่อมะเร็งช็อคแล้วตามด้วยเบต้ากลูแคน ก็ไปกระตุ้นเสริมฤทธิ์แมคโครเฟ็จให้เข้าไปกลืนกินต่อ แต่กรณีที่มีไข้ ติดเชื้อน่าจะเริ่มด้วยเบต้ากลูแคนขนาดสูง เพื่อยับยั้งทำลายเชื้อก่อนลุกลาม แต่หากระยะโรครุนแรงแล้วสารอาหารใดๆ ก็เอาไม่อยู่ !